องค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียน “ภูพระบาท” จังหวัดอุดรธานี เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ เป็นแหล่งมรดกโลกลำดับที่ 8 และแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของไทย เตรียมจัดงานเฉลิมฉลองติดตั้งตราสัญลักษณ์มรดกโลก 28 ก.พ.นี้
รู้จัก “ภูพระบาท” ที่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกแห่งที่ 8 ของไทย “ภูพระบาท” สถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกแห่งที่ 8 ของไทย ตั้งอยู่ในอุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากองค์การยูเนสโก
อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท – นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า องค์การเพื่อการศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จ.อุดรธานี เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในชื่อ ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมา สมัยทวารวดี (Phu Phrabat, a testimony to the Sima stone tradition of the Dvaravati period)
นับเป็นแหล่งมรดกโลกลำดับที่ 8 และแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 5 ของประเทศไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 2 ของจ.อุดรธานีต่อจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก เมื่อปี 2535
สำหรับการประกาศดังกล่าวได้ลงนาม รับรองโดย Ms. Audrey Azoulay ผู้อำนวยการใหญ่องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่ง สหประชาชาติ (UNESCO) เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองและติดตั้งตราสัญลักษณ์มรดกโลกอย่างยิ่งใหญ่ ในวันที่ 28 ก.พ. 2568 ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ณ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จ.อุดรธานี
ภายในงานมีกิจกรรมและการแสดงมากมาย เช่น การแสดงศิลปะพื้นบ้าน จากชุมชนไทพวน อ.บ้านผือ พิธีปลูกต้นรวงผึ้ง เฉลิมพระเกียรติ พิธีติดตั้งตราสัญลักษณ์มรดกโลก และป้ายส่งเสริมการท่องเที่ยว พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ที่โบราณสถานหอนางอุสา การแสดงละครตำนานภูพระบาท เรื่อง อุสา – บารส โขนรามเกียรติ์ ตอน สุครีพถอนต้นรัง
รู้จัก ภูพระบาท ที่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกแห่งที่ 8 ของไทย รัฐบาลประกาศข่าวดี เมื่อ ยูเนสโก (UNESCO) ขึ้นทะเบียน อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จ.อุดรธานี เป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม ภายใต้ชื่อ “ภูพระบาท ประจักษ์พยานแห่งวัฒนธรรมสีมา สมัยทวารวดี” นับเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งที่ 8 ของไทย และแห่งที่ 5 ในประเภทมรดกโลกทางวัฒนธรรม ต่อจากแหล่งโบราณคดีบ้านเชียง
เพื่อเฉลิมฉลองโอกาสนี้ รัฐบาลจัดงานเฉลิมฉลองในวันที่ 28 ก.พ. 2568 ตั้งแต่ 16.00 น. ณ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท ภายในงานจะมีการแสดงศิลปะพื้นบ้านจากชุมชนไทพวน พิธีปลูกต้นรวงผึ้ง พิธีติดตั้งตราสัญลักษณ์มรดกโลก พิธีเจริญพระพุทธมนต์ ณ หอนางอุสา การแสดงละครตำนานภูพระบาท “อุสา – บารส” และโขนรามเกียรติ์ ตอน “สุครีพถอนต้นรัง”
รัฐบาลเชื่อว่าการขึ้นทะเบียนครั้งนี้จะช่วยส่งเสริม การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้แก่ชุมชนในท้องถิ่น
ภูพระบาท ร่องรอยอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์
การสำรวจทางโบราณคดีพบว่ามี หลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์บนภูพระบาทยาวนานกว่า 2,500 – 3,000 ปี โดยพบ ภาพเขียนสีโบราณกว่า 54 แห่ง รวมถึงการดัดแปลงเพิงหินธรรมชาติเป็น ศาสนสถาน ในยุค ทวารวดี, เขมร, ล้านช้าง และรัตนโกสินทร์ แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมของผู้คนในภูมิภาคนี้
จากป่าสงวนสู่มรดกโลก
เนื่องจากความสำคัญทางโบราณคดี กรมศิลปากร จึงขอใช้พื้นที่ ป่าสงวนแห่งชาติ 3,430 ไร่ จากกรมป่าไม้ และขึ้นทะเบียนเป็นเขตโบราณสถานใน ราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 28 เม.ย. 2524 จากนั้นพัฒนาจนกลายเป็น อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท โดยมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อ 26 มิ.ย. 2535 โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ปัจจุบัน อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาทอยู่ภายใต้การดูแลของ สำนักศิลปากรที่ 8 กระทรวงวัฒนธรรม มีภารกิจหลักในการ ดูแล อนุรักษ์ และศึกษาวิจัยโบราณสถานและโบราณวัตถุ รวมถึงเปิดให้ประชาชนเข้าชมในฐานะ แหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรมและแหล่งท่องเที่ยว ภายในพื้นที่มี โบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 78 แห่ง ซึ่งสะท้อนถึงพัฒนาการของอารยธรรมไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การขึ้นทะเบียนมรดกโลกครั้งนี้เป็นความภาคภูมิใจของชาติ และช่วยยกระดับการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
