แฟนเด็กเอนเตอร์เทนโพสต์แซะไม่ยอมหยุด หลังขอโทษในรายการดังแล้ว เจอ “อั้ม” สวนกลับ งานนี้ลบโพสต์กันแทบไม่ทัน
เหตุการณ์ดราม่าที่เกิดขึ้นระหว่าง 3 แดนเซอร์และแฟนลูกค้าได้สร้างความสนใจในสื่อออนไลน์และรายการโหนกระแสเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2568 โดยมีหญิงสาวชื่ออั้ม ผู้ถูกทำร้ายร่างกาย โดยการรุมทำร้ายของแดนเซอร์ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า สาเหตุไม่ได้มาจากความหึงหวง แต่เกิดจากการที่ตนเองรู้สึกโมโหเมื่อถูกแดนเซอร์กลุ่มดังกล่าวพูดจากวนใส่อย่างไม่หยุดหย่อน

ซึ่งไม่เคยมีการพูดถึงเรื่องของความหึงหวงกับแฟนหนุ่มของเธอเลยแม้แต่น้อย ส่วนทางฝ่ายแดนเซอร์ก็ได้ยอมรับผิดในสิ่งที่เกิดขึ้นและขอโทษต่ออั้มและแฟนหนุ่มของเธอในการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่หลังจากการเคลียร์ใจกันในรายการโหนกระแส ดูเหมือนทุกอย่างจะกลับมาสู่ความสงบ แต่การเคลื่อนไหวของคนสนิทฝ่ายแดนเซอร์กลับไม่ได้หยุดลง
โดยหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นแฟนของแดนเซอร์ได้โพสต์ข้อความในโลกโซเชียลหลายครั้ง โดยพาดพิงถึงอั้มและแฟนหนุ่มของเธอ ในลักษณะประชดประชันและล้อเลียน ซึ่งบางโพสต์มีการกล่าวถึงแฟนหนุ่มของอั้มในทำนองว่าเขากลัวเมียหลวงจับได้จึงไม่กล้าออกมาพูดในรายการโหนกระแส และยังโพสต์ข้อความว่า “เก่งแต่พวกมึง ดีแต่พวกมึง” รวมถึงข้อความที่กล่าวถึงการแลกหมัดระหว่างเขากับแฟนของอั้มด้วย
หลังจากที่ข้อความของแฟนหนุ่มของแดนเซอร์ถูกเผยแพร่และได้รับการวิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชียล ทำให้เขาตัดสินใจล็อกเฟซบุ๊กของตัวเอง เพื่อลดกระแสวิจารณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนทางด้านอั้มเองก็ได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นในโพสต์ดังกล่าว โดยระบุว่า “หนูไม่เป็นไรนะคะ แต่ยังไงคงต้องแจ้งไว้ตรงนี้ว่าคงต้องดำเนินการฟ้องทุกกรณีที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องรุมทำร้ายร่างกาย ขอบคุณข้อมูลนะคะ อั้มส่งเรื่องให้ทนายทราบแล้ว”
นอกจากนี้ ในการเคลื่อนไหวจากฝั่งของแดนเซอร์ยังมีการโพสต์ที่พาดพิงถึงอั้มว่าเธอดูดีและมีสกุล แต่กลับไม่สามารถรักษาสามีของตัวเองได้ กลายเป็นเมียน้อยของคนอื่น ซึ่งดูเหมือนจะเป็นการโจมตีอั้มในเชิงล้อเลียนหรือดิสเครดิตให้เธอ ซึ่งอั้มก็ตอบกลับข้อความเหล่านี้ในทำนองว่าจะดำเนินการฟ้องร้องทางกฎหมายอย่างจริงจังหากมีการหมิ่นประมาทในกรณีที่ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์การรุมทำร้ายร่างกาย
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นถึงความตึงเครียดที่ยังคงเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่าย ทั้งในแง่ของการยอมรับผิดและความเคลื่อนไหวในโซเชียลที่ยังคงกระทบกระทั่งกัน และน่าจะเป็นเรื่องที่ต้องติดตามผลทางกฎหมายในอนาคตว่าจะมีการฟ้องร้องหรือไม่

ภาพจาก อีซ้อขยี้ข่าว : อีซ้อ